กะเทยแสบแฟนคลับ พาเหยื่อตีสนิทซุปตาร์ ความแตกโร่แจ้งป.จับ
เจ้าของเต็นท์รถมือสองควงพี่สาวโร่แจ้งความตำรวจกองปราบฯ ถูกแฟนคลับแสบกุเรื่อง “อั้ม-พัชราภา” นางเอกซุปเปอร์สตาร์ วิก 7 สี ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกร้อนเงินหนักขอยืมเงินรักษาตัว พี่สาวหลงเชื่อสนิทใจโอนเงินกงสีของครอบครัวให้ไปหลายครั้งรวม 8 ล้านบาท ความแตกเมื่อทราบเรื่องจริงจากปากดาราสาวว่าไม่ได้ป่วย และไม่ได้ติดต่อกับแฟนคลับรายนี้นานแล้ว ตำรวจเตรียมเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบสวน พร้อมเชิญนางเอกเบอร์ 1 ช่อง 7 สีเข้าให้ข้อมูลทางคดี ขณะที่ “อั้ม-พัชราภา” ปรี๊ดแตก จวกทำให้วุ่นวายไปด้วยทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง
แจ้งจับแฟนคลับแสบกุเรื่อง “อั้ม-พัชราภา” ป่วยหนักขอยืมเงินรักษาตัว เปิดเผยขึ้นที่กองบังคับการกองปราบปราม เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 26 พ.ย. นายปรีชา ชินวาณิชย์ อายุ 50 ปี เจ้าของเต็นท์รถมือ 2 เดอะวัน ย่านถนนศรีนครินทร์ พร้อมน.ส.ชญาดา ชินวาณิชย์ อายุ 51 ปี พี่สาว เข้าพบ พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. และพ.ต.ต.หญิง จันทนา สาตะมาน พงส.ผนก. กก.5 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายพัชราวรรธน์ หรือโจม คำแหง อยู่บ้านเลขที่ 103/55 หมู่ 5 ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าของร้านเสื้อผ้า “พัชราภากรุ๊ป บาย พัชราวรรธน์” อยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ เมื่อถูกนายพัชราวรรธน์ท่าทางตุ้งติ้งคล้ายกะเทยอ้างว่า “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” นางเอกละครเบอร์ 1 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ขอยืมเงินไปใช้รักษาอาการป่วยมะเร็งปากมดลูก พร้อมนำหลักฐาน สลิปการโอนเงินและภาพถ่ายของนายพัชราวรรธน์มอบให้เจ้าหน้าที่
นายปรีชาเปิดเผยว่า ทำธุรกิจเต็นท์รถมือ 2 โดย น.ส.ชญาดาพี่สาวตน มีหน้าที่ดูแลบัญชีทั้งหมด เมื่อ 6 ปีก่อน น.ส.ชญาดารู้จักนายพัชราวรรธน์ เนื่องจากเป็นแฟนคลับของ “อั้ม-พัชราภา” ขณะที่นายพัชราวรรธน์มักอ้างว่าสนิทสนมกับนักแสดงสาวมาก พร้อมกับพา น.ส.ชญาดาไปเจออั้มบ่อยครั้ง ทำให้พี่สาวสนิทใจและไว้ใจนายพัชราวรรธน์เป็นอย่างมาก กระทั่งวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา นายพัชราวรรธน์อ้างกับพี่สาวตนว่าอั้มกำลังป่วยหนักเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะแรก ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก วานให้นายพัชราวรรธน์มาขอยืมเงิน
เจ้าของเต็นท์รถเผยอีกว่า เมื่อพี่สาวหลงเชื่อให้ยืมเงินครั้งแรก 1 แสนบาทเศษ โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาโรบินสัน จังหวัดนครศรีธรรมราชของนายพัชราวรรธน์ จากนั้นนายพัชราวรรธน์ ติดต่อขอให้โอนเงินอีก อ้างว่า อั้มป่วยมาตลอด เป็นจำนวนกว่า 10 ครั้ง รวมยอดเงิน 8 ล้านบาท นายพัชราวรรธน์อ้างอีกว่า อั้มฝากบอกว่าจะคืนเงินทั้งหมดให้ภายในเดือน พ.ย. แต่ความมาแตกเมื่อครบกำหนดที่ตนต้องใช้เงินไปหมุนเวียนทำธุรกิจ ได้ทวงถามเงินจากพี่สาวจึงทราบเรื่องทั้งหมด โดยพี่สาวบอกว่า นายพัชราวรรธน์แจ้งว่าอั้มขอเลื่อนคืนเงินไปกลางปี 2559 เมื่อเริ่มระแคะระคายตนตัดสินใจโทรศัพท์ไปสอบถามกับ “อั้ม-พัชราภา” ถึงทราบความจริงว่าอั้มไม่ได้ป่วย รวมทั้งไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่ได้ติดต่อกับนายพัชราวรรธน์มานานแล้ว เมื่อรู้ว่าถูกหลอกจึงตัดสินใจพาพี่สาวเข้าแจ้งความ
พ.ต.อ.ภูมินทร์กล่าวว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้ ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมสอบปากคำผู้เสียหาย จากนั้นจะเชิญ “อั้ม-พัชราภา” มาสอบปากคำเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ป่วย หรือร้องขอให้นายพัชราวรรธน์มาขอยืมเงินไปรักษาแต่อย่างใด และจะติดต่อนายพัชราวรรธน์ผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป
ด้านนายวรวุฒิ ไชยเชื้อ บิดาของอั้ม-พัชราภา เปิดเผยว่า ตอนนี้อั้มทราบเรื่องแล้วและรู้สึกไม่สบายใจที่มีเรื่องเช่นนี้ แต่ไม่ทราบว่าอั้มจะทำอย่างไรต่อไป แต่อั้มเป็นห่วงแฟนคลับของเขาว่าจะมีใครโดนหลอกอีกบ้างหรือเปล่า ยืนยันว่าลูกสาวไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายอะไรทั้งนั้น หากมีใครไปเรียกร้องเงิน ในลักษณะนี้ขอให้เชื่อได้ว่าถูกหลอกแน่นอน
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สัมภาษณ์อั้ม-พัชราภาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้คำตอบอย่างมีอารมณ์ว่า “อั้มไม่รู้เรื่องอะไรด้วยแต่ก็ต้องมาวุ่นวาย” จากนั้นได้ตัดสายทิ้งไปทันที
ค่ำวันเดียวกัน “อั้ม-พัชราภา” โพสต์ข้อความในอินสตาแกรมส่วนตัวว่า “อ่านข่าวแล้วล่ะตกใจ นักข่าวไม่ต้องโทร.มาแล้วนะคะ เพลีย ไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น!! ไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็ง!! แข็งแรงดีมีแค่เป็นหวัดและภูมิแพ้นิดๆหน่อยๆเท่านั้น และไม่เคยยืมเงินใครหรือให้ใครยืมเงิน จบนะ วันนี้ปวดหัวมาก หวังว่าจะไม่มีใครใช้ชื่ออั้มไปแอบอ้างนะคะ ถ้าคนใช้ชื่ออั้มอ้างหลายๆคนอั้มไม่ต้องไปให้ปากคำตลอดเหรอ พักนะ เพลีย และฝากหลายๆคนถ้าใครใช้ชื่ออั้มอย่าไปหลงเชื่อนะคะ นักข่าวคะอย่าโทร.มาถามพ่อแม่และอั้มเลยนะ ถามไปก็ไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากบอกหนูไม่รู้”
หางานตามสาขาอาชีพ
JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved
jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด